สูดโอโซนที่เนินช้างศึก...
เริ่มการเดินทางอันยาวไกล แต่ไปถึง ถ้าใช้รถส่วนตัวไปเองก็ชิวดี สะดวกในการเดินทางและเวลา แต่มันก็จะไม่ค่อยได้ฟิวการผจญภัยแบบที่ใจเราต้องการ (งานคิดเองเริ่มมา😂) เพราะงานนี้ไม่มีรถ ต้องไปเอง อาศัยรถขนส่งมวลชน รถทัวร์ รถตู้ และสองเเถว เอ้า เอาเข้าไปฟังแล้วมันจะลำบากไปมั้ย
ผมว่าความสนุก ของการเดินทางมันขึ้นอยู่กับวิธีที่เราใช้เดินทางด้วย แต่ก็ไม่ใช่ลำบากจนเกินไป(จนยาก)จะลืม เดินทางสายกลางไว้ เอาแค่เราไหวแล้วมีใจที่จะไปต่อก็พอ แบบนี้มันจะมีเรื่องราวให้เราจดจำและนำกลับมาเล่ามากมายกว่าการไปถ่ายรูปสวยๆ เพียงอย่างเดียว
มาเริ่มการเดินทางไปหาโอโซนกันเลยดีกว่า ครั้งนี้ไปไกลจนขาซ้ายก้าวข้ามชายแดนประเทศเพื่อนบ้านได้เลย (แต่ทำไมต้องขาซ้ายหว่า เอาไว้เฉลยตอนท้ายครับ)
หมู่บ้านอีต่อง นั้นแหละครับจุดหมายปลายทางของทริปนี้ เพื่อนๆคงจะงงกับชื่อหมู่บ้าน ว่ามันแปลกและตลกดี มันมีความหมายมั้ย มีครับ บ้านอีต่อง เป็นคำที่พูดเพี้ยน มาจาก ณัตเอ็งต่อง (คาดว่ามาจากภาษาพม่า อันเป็นความคิดของผมเองเพราะอยู่ติดชายแดนประเทศพม่า)
ณัต แปลว่า เทพเจ้า หรือเทวดา เอ็ง แปลว่า บ้าน ต่อง แปลว่า ภูเขา แปลร่วมกันแล้วเป็น หมู่บ้านบนยอดเขาเทวดา หรืออาจจะแปลได้ว่า บ้านของเทพเจ้าแห่งขุนเขา แหมทำให้ผมคิดไปว่ากำลังจะไปฝึกวิชาบนเขาเหลียงซานเลย นอกเรื่องไปนิด กลับมาๆๆ
บ้านอีต่อง เป็นที่ตั้งของเหมืองปิล็อก อยู่จังหวัดกาญนะจ๊ะบุรี เอ้ย ลูกติดพัน แฮะๆ เราสามารถเดินทางไปกาญจนบุรีได้โดยรถส่วนตัว รถทัวร์ รถตู้ และรถไฟ ได้ข้อมูลแล้วก็ออกเดินทางกันได้
สำรวจงบประมาณในกระเป๋า แล้วรีบเข้าห้องไปเก็บเสื้อผ้าอย่างไว (อย่างไว คือ กิริยาความไว ไวมาก ไวเกือบๆเท่าความไวแสง เป็นพจนานุกรมฉบับ นายวินเอง ไวมากเรื่องเที่ยว ขอให้ชวน) ผมเดินทางไปช่วงต้นเดือนมีนาคม 2560 ไม่ได้คาดการณ์ไว้ว่าจะเจอสภาพอากาศแบบไหนแต่ที่แน่ๆ คงจะร้อน แต่มันก็ยังดีกว่านอนร้อนอยู่ในกรุงเทพแน่นอน ป่าเขามันน่าจะมีอะไรให้เราทำมากกว่าในป่าคอนกรีต
หลังจากเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าเรียบร้อยแล้วก็ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตีสามเพราะนัดรวมตัวที่ท่าอากาศยานหมอชิตตอนตีสี่ครึ่ง(ทริปนี้ไปกันสองคน แอบมโนว่าจะนั่งเครื่องไป) จากการหาข้อมูลโดยละเอียดแบบ นายวิน "ว่าการเดินทางไปหมู่บ้านอีต่อง แบบรถประจำทางมีให้เลือกสองอย่างคือ รถทัวร์ และรถตู้"
ผมตัดสินใจนั่งรถตู้ด้วยความไวและประหยัดเวลากว่ารถทัวร์แน่ๆเราเลยต้องไปให้ถึงท่าอากาศยานหมอชิตแต่เช้า จะได้ทันรถตู้ไปเมืองกาญฯรอบแรก คือตีห้า (ข้อมูลจากพี่ Google ว่ามีรถเที่ยวนี้)
เสียงนาฬิกาปลุกดังเป็นสัญญาณให้ต้องรีบตื่นเดี๋ยวจะไม่ทันเวลานัด โทรหาน้องก่อนออกจากบ้าน ผมมาถึงหมอชิตก่อนเวลานิดหน่อย น้องที่จะไปด้วยยังมาไม่ถึง เอาเวลาเดินหาท่ารถตู้ไปเมืองกาญฯก่อน เดินถามไปถามมาก็เจอ รถออกตีห้าเหมือนที่พี่กูลว่าไว้จริงๆ รีบโทรตามน้องก่อนที่จะจองตั๋ว กลัวพลาดมาไม่ทัน ตั๋วรถตู้กรุงเทพฯ - กาญจนบุรี คนละ 120 บาท
น้องผมมาทันเวลาก่อนรถออก เราซื้อตั๋วขึ้นไปรถบนรถเพราะใกล้เวลา ตีห้ากว่าแล้วก็ยังไม่ออก ต้องรอคนอีกแน่ๆเลย รถออกตัวตอนตีห้าครึ่ง ใช้เวลาในการเดินทางจากกรุงเทพ ถึง กาญจนบุรีประมาณ 2 ชั่วโมง
รถออกช้ากว่ากำหนดครึ่งชั่วโมง แต่ไม่รู้ว่าด้วยความชำนาญของคนขับหรืออย่างไร ความไวที่ใช้ทดเวลาบาดเจ็บไปได้เยอะเลย เเป๊บเดียวก็มาถึง บขส. กาญจนบุรี ในเวลาเจ็ดโมงครึ่ง ตรงเวลามาก (พี่เขาขับไวแต่นิ่มและปลอดภัยมากไม่ต้องตกใจนะครับ)
ผมและน้องกะว่าพอถึง บขส. แล้วจะหาวินรถตู้ทองผาภูมิ จองตั๋วไว้และถ้ามีเวลาเหลือก็จะหาอะไรกินก่อนรถจะออก แต่ปรากฏว่า เวลาเหมาะเจาะลงตัว พอลงจากรถตู้ กรุงเทพ-กาญจนบุรี เดินไปหารถตู้ไปทองผาภูมิซื้อตั๋วปุ๊บรถก็จะออกปั๊บ ที่ต้องรีบไปก็เพราะว่าเราต้องไปถึงที่ตลาดทองผาภูมิก่อน สิบเอ็ดโมงเช้า หรือก่อนเที่ยงวัน ตามข้อมูลจากหลายๆแหล่งข่าวระบุว่า
รถสองแถวที่จะเข้าไปหมู่บ้านอีต่องหมดบ่ายโมง หรือก่อนเที่ยง เวลามันไม่ชัดเจนเราเลยต้องเผื่อเวลาไว้ก่อนกันพลาด ยังไม่อยากนอนพักที่ทองผาภูมิวันนี้ (จาก บขส. กาญจนบุรี ไปตลาดทองผาภูมิก็ไปได้สองแบบ คือรถเมล์และรถตู้ รถตู้เร็วกว่ารถเมล์เห็นๆ ใช้เวลาเดินทาง ชั่วโมงกว่าๆ) ค่าโดยสารรถตู้ 115 บาทต่อคน (ถ้ารถเมล์ร้อนคนละ 80 บาท)
รถตู้คันนี้แตกต่างจากคันแรกที่เรานั่งลิบลับ ออกตรงเวลา คือ 7:55 น. (บอกไว้ก่อนเลยว่าคนเต็มรถ อย่าชะล่าใจไปว่าไม่มีคน เดี๋ยวจะพลาดเอาได้นะครับ การเดินทางด้วยรถตู้มันไวคนเลยนิยมมาใช้บริการเยอะ ถ้าไม่ได้ขนของอะไรมากมายนั่งรถตู้สบายกว่ารถเมล์แถมยังย่นระยะเวลาการเดินทางได้อีก)
รถตู้ที่เรานั่งคันนี้ออกตรงเวลาอย่างที่บอกผิดกับคันแรก แต่เรื่องความเร็ว มันช่างเป็นคนละขั้วกันเลย คุณลุงเหมือนขับรถส่งน้ำแข็งตะต่อนยอนช้าไปตามระเบียบ เราก็นั่งชมวิวกันไปซิครับเพลินๆไม่สามารถทำอะไรได้ หลับก็แล้ว ตื่นก็แล้ว ดีนะที่เรามีความไวแอบไปซื้อลูกชิ้นและใส้กรอกทอดขึ้นมากินรองท้องก่อนรถจะออกไม่งั้นมีอาการหิวตายบนรถแน่ๆ
แล้วคุณลุงก็พาเรามาถึงตลาดทองผาภูมิเกือบจะสิบโมง พร้อมๆกับรถเมล์ร้อนวิ่งแซงหน้าไป...!!! (นึกสงสัยมันเร็วกว่ากันตรงไหนฟะ???? คราวหน้านั่งรถเมล์ดีกว่ามั้ง) รถมาจอดที่วินรถตู้ แต่ไม่ใช่ท่ารถสองแถวที่เราจะไปหมู่บ้านอีต่องนะครับ ต้องเดินย้อนลงไปทางตลาดทองผาภูมิ รถจะจอดอยู่หน้าตลาดพอดี ตรงข้ามร้านสะดวกซื้อสีเขียว-ส้ม (งานนี้ก็ถามตลอดทางครับ ลุง ป้า ที่นั้นใจดีครับถามทางได้)
เสน่ห์ของการเดินทางอีกอย่างผมว่าคือการได้พบปะพูดคุยกับผู้คนและผูกไมตรีตลอดการเดินทาง เพียงแค่เราเปิดใจไปที่ไหนก็ได้เพื่อนครับเราก็ไม่รอช้าแบกกระเป๋าขึ้นบ่าตามหารถสองแถวสีเหลืองในตำนาน??? ว่าไปนั้น เห็นหลังคารถไวๆเราก็เดินตามแต่ไม่ใช่ ต้องดูป้ายที่เขียนไว้ด้านข้างรถดีๆ
พร้อมกับเสียงคุณป้าที่ขายอาหารอยู่ตรงท่ารถร้องถามมาว่าจะไป อุทยานฯมั้ย(อุทยานที่ว่านี้คือ อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ) ด้วยความซื่อ(ดูจากหน้าตา)เราก็ตอบกลับไปว่าจะไปบ้านอีต่องครับ ป้าแกยิ้มๆแล้วบอกว่าที่เดียวกัน เล่นเอาซะผมเขินเลยนะคุณป้า แถมคุณป้ายังใจดีเรียกให้ไปนั่งรอในร้านก่อนไม่กินก็นั่งได้
เพราะเดี๋ยวรถเที่ยวแรกก็จะมาแล้ว แกบอกว่าวันนี้อาจจะมีสามเที่ยว คือ สิบโมง สิบเอ็ดโมง และสุดท้ายคือบ่ายโมงตรง ถ้าผมจำเวลาไม่ผิดนะ แต่ก็ให้ไปเช้าไว้ครับจะได้ไม่พลาด พอรู้เวลาเดินรถแล้ว เราก็ไม่รอช้า ของไปเดินดูตลาดและหาอะไรทานก่อนเพราะตั้งแต่เช้า ได้แค่ลูกชิ้นคนละสองไม้ แบกกระเป๋าใบโตเกือบเท่าตัวเดินเข้าตลาดทองผาภูมิไปหาข้าวเช้าบวกข้าวสายๆรวมกัน...
ของกินมีให้เลือกเยอะแยะเลยครับเลือกกินตามอัธยาศัยในราคามิตรภาพ อิ้มท้องสบายกระเป๋า แล้วเราก็กลับมาที่ท่ารถสองแถวเหลืองในตำนาน เพื่อรอเวลาล้อหมุน ถ้าให้ดีพอรถมาก็ขึ้นไปจับจอที่นั่งบนรถกันไว้เลยครับเดี๋ยวจะไม่มีที่นั่ง ทั้งนักท่องเที่ยวทั้งชาวบ้านจากหมู่บ้านที่ลงมาซื้อของที่ตลาดรับรองเต็ม
เจอลุงจัน คนขับรถที่ได้คุยกันไปนิดหน่อยแก่บอกว่าวันนี้เหลือรถแค่เที่ยวเดียวแล้วเพราะรถเที่ยวแรกเสีย เลยรวบยอดเหลือคันเดียวคือรถของแก และรถก็จะออกประมาณเที่ยง เวลายังเหลือน้องผมบอกว่าที่นี่มีจุดชมวิวอยู่ท้ายตลาด ติดแม่น้ำแควน้อย เดินไปนิดเดียว ผมก็ไม่รอช้าขอไปดูซะหน่อยดีกว่านั่งอยู่เฉยๆ จากท่ารถหน้าตลาดเดินไปท้ายตลาดก็ประมาณ 5-10 นาทีได้มองเห็นแม่น้ำ ศาลานั่งพัก และวิวริมน้ำ ลมเย็น ร่มรื่น เสียอย่างเดียวแดดร้อนไปหน่อย.....
พอเดินกลับมาก็ใกล้เวลาที่ล้อรถจะหมุน เห็นคนขึ้นกันเต็มรถทั้งของทั้งคน มีเพียงผมและน้องชายที่เป็นนักท่องเที่ยวส่วนที่เหลือคือชาวบ้านในหมู่บ้านอีต่องที่ออกมาซื้อข้าวของเครื่องใช้ในตัวเมืองพร้อมที่จะเดินทางกลับเข้าหมู่บ้าน รวมทั้งพี่สาวเจ้าหน้าที่ประจำอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิอีกหนึ่งท่านที่เคยคุยกันตอนนั่งรอรถอยู่ที่ท่า แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวแถมยังชวนให้เขาไปเที่ยวที่อุทยานฯคุยกันสนุกสนาน...
บรรยากาศในการเดินทางนั่งรถสองแถวเหลืองขึ้นเขาครั้งนี้แตกต่างจากการนั่งรถตู้เมื่อเช้านี้อย่างสิ้นเชิง เพราะอย่างที่บอกเราเป็นนักท่องเที่ยวสองคนบนรถจริงๆ ที่เหลือรายล้อมไปด้วยชาวบ้านที่ลงมาซื้อข้าวของเครื่องใช้ทั้งนั้นอาจจะไม่สบายเหมือนนั่งรถตู้ นั่งเบียดกันนิดหน่อยแต่ก็ได้รสชาติของการออกผจญภัย
นั่งชมวิวข้างทาง ถ่ายรูป selfie ไปตามระเบียบมนุษย์โซเชียล (ขอนิดนึ่ง) หันหน้ามาคุยกัน หันข้างไปเล่นกับเด็กน้อย หันไปฟังพี่ๆป้าๆในรถคุยกันบ้างด้วยภาษาที่เราไม่คุ้นเคย ผมเดาเอาว่าเป็นภาษาพม่าครับ งานซับนรก(ซับไตเติ้ล)ก็มาทันที เรามองหน้ากันพร้อมใส่ซับไตเติ้ลภาษาไทยที่เราแต่กันเองแทนเสียงพี่ๆป้าๆที่พูดคุยกัน
เรานั่งพลิกแพลงไปหลายกระบวนท่าเพราะว่ายังต้องใช้เวลาอยู่บนรถอีกยาวนาน ระยะทางไม่ไกลแต่ว่าทางที่ไปมันขึ้นเขา เลยต้องขับรถอย่างระมัดระวัง ช่วงเเรกเป็นพื้นราบใช้เวลาไม่นานก็ขับไปถึงครึ่งทาง ก็ถึงทางแยกไปบ้านไร่ด้านซ้ายมือ ด้านขวามือคือทางขึ้นอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ และหมู่บ้านอีต่อง เป็นจุเริ่มต้นของ 399 โค้งที่จะขึ้นหมู่บ้าน คนขับก็ต้องใช้ทักษะในการขับอย่างมาก ผู้โดยสารก็ต้องใช้ทักษะการทรงตัวอย่างสูง โยกซ้ายย้ายขวากันไปเป็นระยะๆ ตาก็มองวิว มือก็เกาะรถมองดูตัวเองนี่มันลูกลิงชัดๆ...
แต่มองดูพี่ ป้า น้า อา ที่มาด้วยทุกคนดูจะนั่งกันชิวๆเหลือเกิน พูดคุยกัยสนุกสนาน ไม่ได้สนใจระยะทางกันเลย เห็นแบบนั้นเราก็เขาไปรวมวงกับป้าๆๆซะหน่อย คุยกันสนุกดี บรรยากาศในการนั่งรถดูคึกคัก ป้าท่านนึ่งในรถถามว่าพวกเรามาทำอะไรกัน ที่นั้นมีแต่เขาและป่า เป็นหมู่บ้านเล็กๆ แถมยังออกจะเงียบด้วยซ้ำไปในช่วงนี้
เพราะนักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวในฤดูหนาว และตอนปีใหม่ ผมตอบกลับไปว่า ดีเลยครับคนน้อยเงียบสงบดี ไม่อึดอัดแถมไม่ต้องแย่งกันเที่ยวด้วย และยังได้โอโซนเต็มๆไม่ต้องแบ่งใคร คุณป้าบอกว่าที่หมู่บ้านอากาศดีมาก และจริงๆแล้วสามารถมาเที่ยวได้ตลอดทั้งปี คุยกันไป โยกกันไปซักพักพอให้ตับไตสลับที่ไปมา
ผ่านจุดชมวิว สองจุด แวะส่งพี่เจ้าหน้าที่อุทยานทงอผาภูมิ แล้วก็ออกเดินทางกันต่อยังเหลืออีกหลายแต่ก็ใกล้มากแล้ว ผ่านทางเข้าน้ำตกจ๊อกกระดิ่น เหมืองสมศักดิ์ แล้วก็ถึงทางเข้าหมู่บ้านกลางป่าเขาที่ชื่อว่า "บ้านอีต่อง" เป็นหมู่บ้านในตำบลปิล๊อก อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี อยู่สุดเขตชายแดนไทย-พม่า ในอดีตชาวบ้านที่นี่จะทำเหมือนแร่...
หลังจากตับไตสลับเข้าที่พอดีกับรถก็จอดลงตรงหน้าหมู่บ้าน ด้านซ้ายมือเป็นที่ตั้งเหมืองเก่าปิล๊อก ด้านขวาคือหมู่บ้าน อีต่องเป็นหมู่บ้านเล็กๆกลางป่าเขาจริงๆ เวลาก็ประมาณบ่ายสองกว่าๆ ใช้เวลาเดินทาง สองชั่วโมงนิดๆ เช่ามอเตอร์ไซค์ลุงจัน โชเฟอร์รถสองแถวเอาไว้ใช้ แล้วก็ไปเข้าที่พัก ที่พักหาไม่ยากครับ คุณไม่มีทางหลงหลงหาที่พักไม่เจอในหมู่บ้านอีต่องแน่นอนผมรับประกัน
เข้าที่พัก เก็บของ ล้างหน้าล้างตาแล้วก็ ออกแว้นซิครับทีนี้ หาข้าวกลางวันกินอีกที เพราะหิวมาก(ดูหิวตลอดเวลา)หลังจากรถสองเเถวช่วยย่อยอาหารที่กินเข้าไปเมื่อตอนสายๆเป็นที่เรียบร้อย จำได้ว่าคุณป้าที่นั่งรถมาด้วยกันเปิดร้านอาหารตามสั่งอยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้าน ที่นั้นเลยจุดหมายแรกของเรา เพราะเป็นทางผ่านขับย้อยไป เนินช้างศึก น้ำตกจ๊อกกระดิ่น และอุทยานฯ
หาข้าวกินให้อิ่มแล้วจะไปที่น้ำตกถ้ายังไปทัน มาถึงร้านคุณป้าสั่งอาหาร แล้วก็ถามป้า ว่าเรายังไปน้ำตกทันมั้ย เพราะตอนนั้นก็บ่ายสามกว่าแล้ว คุณลุงแฟนป้าบอกว่ายังทันน้ำตกปิดตั้งห้าโมงเย็น เราก็รีบกินข้าวกัน ฝีมือคุณป้าอร่อยเลยครับรสชาติเหมือนเรากินกับข้าวฝีมือแม่ รสชาติบ้านๆ ที่สำคัญผัดกระเพราเป็นผัดกระเพราแท้ๆที่ไม่มีถั่วฝักยาวมาเจือปนด้วย แถมข้าวยังเป็นข้าวกล้องอีก ราคาก็มิตรภาพมากไม่แพง ผมว่าอร่อยกว่าบางร้านที่รีวิวกันในหมู่บ้านอีกครับ(อันนี้ความเห็นส่วนตัวถ้าใครไปแล้วเห็นด้วยก็ line มาบอกกันบ้างนะ)
ลืมบอกไปครับตอนที่นั่งกินข้าวเราก็เจอกับลูกชายคนเล็กของป้า วิ่งออกมาทักทายแขกผู้มาเยือนแต่ขอสารภาพว่าสอง สามวันที่อยู่นั้น ผมยังคุยกะไอ้ตัวเล็กไม่รู้เรื่องเลยแถมพกความงงกลับบ้านไปอีก ถามว่าชื่ออะไร ตอบกลับมาว่า “อากาหม่อง” เราก็เข้าใจตามนั้น หลังจากชวนคุยกันแบบงงๆได้ซักพักเราก็ต้องรีบไปเพราะบ่ายกว่าแล้วเดี๋ยววันแรกจะอดเที่ยว
ขับรถมุ่งหน้าออกจากตัวหมู่บ้านย้อยกลับไปทางเดิมที่เราเข้ามาเพื่อไปยังน้ำตกจ๊อกกระดิ่น ผ่านทางเข้าเหมืองสมศักดิ์ จุดชมวิวเนินช้างศึก แล้วก็ถึงทางเข้าน้ำตก ทางเข้าค่อนข้างจะชันรถมอไซต์ที่เช่าก็ใหม่มากต้องลุ้นตลอดเวลาว่าจะพาเราไปถึงมั้ย ขับผ่านโค้ง ผ่านเนิน ผ่านเหวไป สองกิโลเมตร ก็ได้ยินเสียงน้ำตกดังมาแต่ไกล
ถึงด่านเก็บเงินค่าเข้าน้ำตก ก็เห็นรถจอดอยู่สอง สามคัน เพราะตอนนั้นสี่โมงเย็นแล้ว ปกติช่วงวันธรรมดาคนจะน้อยถึงขั้นน้อยมาก จ่ายค่าเข้าน้ำตกแล้วก็ถามเวลาปิดกับลุงเจ้าหน้าที่ แกบอกว่าปิดห้าโมงเย็น ทางเดินเข้าตัวน้ำตกสะดวกสบาย เป็นทางปูนเข้าไปเกลือบถึงตัวน้ำตก พอไปถึงน้ำตกก็พอว่ามีคนเล่นอยู่สอง สามคน บางส่วนทะยอยกลับ
ตัวน้ำตกมีลักษณะเป็นแองลาดขนาดใหญ่พอประมาณ น้ำใสมากจะมองเห็นหินที่อยู่ใต้น้ำ หินใต้น้ำตกเป็นหินกรวดขนาดเล็กและใหญ่แตกต่างกันไป น้ำโดยรอบไม่ลึกมาก จะไปลึกตรงบริเวณที่น้ำตกลงมาเท่านั้น ประมาณ 3 เมตร บริเวณน้ำตกจะมีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกและเตือนคนที่ลงไปเลยน้ำบริเวณนั้นด้วยครับ แต่ไม่ต้องห่วงว่าจะอันตราย บริเวณน้ำตกเจ้าหน้าที่ได้จัดห่วงยาง เสื้อชูชีพไว้บริการนักท่องเที่ยวแบบฟรีๆ แล้วก็ได้เวลาที่เราจะถ่ายรูปไว้เป็นที่ระทึก และระลึกแล้ว
ก่อนที่เราจะทำการแก้ผ้าเล่นน้ำ (ถอดเสื้อเหลือกางเกงไว้แก้หมดกลัวปลาตอด T ) แบบไม่ต้องอายใครเพราะในตอนนั้นคนก็น้อย (ถึงไม่น้อยก็ไม่อายละ) ประหนึ่งว่าเราเป็นเจ้าของน้ำตกเลย น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา เล่นเพลินจนลืมเวลาเลย
คนที่ว่าน้อยก็ทะยอยกลับ จนเหลือผมกับน้องแค่สองคน เราคิดว่าใกล้เวลาเดี๋ยวเจ้าหน้าที่ก็จะมาเรียกให้เราขึ้นเอง ก็เลยเล่นไปเรื่อยๆ เดินทางเหนื่อยกับอากาศร้อนมาทั้งวัน พอเจอน้ำเย็น เลยทำให้ร่างกายที่เหนื่อยล้า สดชื่นขึ้นเยอะ เวลาประมาณห้าโมงครึ่งก็ยังไม่เห็นเจ้าหน้าที่ เลยตัดสินใจขึ้นจากน้ำเพราะว่าเราจะไปแวะจุดชมวิวเนินช้างศึกตอนกลับเข้าหมู่บ้าน เดี๋ยวมันจะมืดค่ำเอาซะก่อนแล้วจะมองไม่เห็นทาง
พอขึ้นมาถึงป้อมเก็บเงินค่าเข้าน้ำตกก็พบว่าไม่มีใครอยู่เลย สรุปพวกเราโดนเท TT ได้ฟิวเป็นเจ้าของน้ำตกจริงๆ จ๊อกกระดิ่นของพี่ ขับรถมอเตอร์ไซค์ห้าง ออกมาถึงทางเข้าก็เจอกับพี่เจ้าหน้าที่รอเราเพื่อปิดไม้กันทางเข้าน้ำตกด้านนอก นึกว่าจะโดนเทจริงๆแล้ว แฮะๆๆที่แท้พี่เค้าออกมารอด้านนอก(นอกจริงๆ ติดถนนใหญ่เลย)
(บัตรเข้าน้ำตกจ๊อกกระดิ่นสามารถนำไปเข้าชมอุนยาทแห่งชาติทองผาภูมิได้ด้วยครับ หรือกลับกันบัตรเข้าชมอุทยานฯก็สามารถใช้เข้าน้ำตกได้เหมือนกัน แต่ต้องใช้วันเดียวกันครับข้ามวันไม่ได้ถ้ายังไงก็วางแผนเที่ยวกันดีๆจะได้ไม่เสียเงินหลายรอบครับ)
แว้นบนเขาต้องใช้สะกิลการขับพอสมควร ต้องค่อยดูทาง ดูคน ดูโค้ง ดูวิว ดูรถที่จะสวนทางไปและตามหลังมา เพราะเป็นทางเลนเดียวขับสวนกัน ทางทีดีขับช้าๆ ไม่ต้องแว้นเหมือนเจ้าถิ่นที่เขาคุ้นชินกับสภาพถนนดีกว่า อีกอย่างรถมอเตอร์ไซด์ห้างของผมก็วิ่งได้ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแถมเป็นรถที่มาครัชด้วย ใช้อยู่แค่สองเกียร์เท่านั้น คือ เกียร์ 1 และ 2 ถือว่าขับรถชมวิวไปเนาะ
ผ่านทางเข้าเหมืองสมศักดิ์ (เป็นที่ตั้งของบ้านป้าเกล็นตำนานรักแห่งเหมืองนี้) จากปากทางเข้าไปยังตัวเหมืองเป็นระยะทาง 5 กิโลเมตร ระะยะทางไม่ไกลแต่ไม่ควรขับรถมอเตอร์ไซค์เข้าไปจะดีกว่า ทางโหดพอดูต้องใช้รถโฟวิลขับเข้าไป
เราได้แต่มองด้วยความเสียดายแล้วก็สัญญากับตัวเองว่าคราวหน้าเราจะไปนอนค้างแรมที่นั้นให้ได้ คราวนี้อดใจไว้ก่อน ขับต่อถึงเเยกเข้าสู่เนินช้างศึก ขับรถเข้าไปทางดินเรื่อยๆ ผ่านโค้วผ่านเขา ผ่านเนินเล็ก เนินน้อย ระหว่างทางก็จะมีอุโมงค์เหมืองเเร่เก่าเป็นระยะๆ
สามารถเข้าไปชมในอุงโมงค์ได้ แต่ต้องอ่านและปฏิบัติตัวตามคำเตือนบนป้ายที่เขียนติดไว้อย่างเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัย การเที่ยวที่ปลอดภัยเราควรใส่ใจคำเตือนและข้อห้ามในแต่ละสถานที่ที่เราเข้าไปด้วย เพื่อความปลอดภัย เป็นการแสดงความเคารพการเข้าใช้สถานที่อีกด้วย
ไปได้ครึ่งทางก็จะเห็นป้ายที่สร้างความสับสนให้นักท่องเที่ยวอย่างผม ถ้ามองผ่านๆ ว่าป้ายบอกให้ตรงไป หรือแยกทางซ้ายดี ผมว่าต้องมีคนงงเหมือนผมบ้างเหมือนกัน จริงๆแล้วป้ายเขียนว่าเนินช้างศึก และมีข้อความด้านล้างเขียนต่อว่า อุโมงค์เหมืองเก่า (ป้ายบอกทางบ้านเราอ่านแล้วงงทำเอาหลงได้ได้ตลอดเวลา ขนาดคนไทยยังงงแล้วชาวต่างชาติจะเป็นยังไง ยังไม่อยากคิด)
แต่จริงๆแล้วต้องขับรถไปต่อนิด เราก็จะถึงเนินช้างศึก เนินช้างศึกเป็นที่ตั้งของฐาน ตชด. เป็นจุดสูงสุดของตำบลปิล็อก เราสามารถชมวิวจากบนยอดเนินได้เป็นมุมกว้างมองเห็นถึงฝั่งพม่ากันเลยทีเดียว วิวดี ลมเย็น อากาศสดชื่น หาที่นั่งรอดูพระอาทิตย์ตกดินกันตามสะดวก พระอาทิตย์ที่เนินช้างศึกจะตกดินเวลาประมาณ หกโมงครึ่งครับ (สนับสนุนข้อมูลจาก...พี่น้องทหารที่ประจำฐานที่เนินช้างศึก)
พระอาทิตย์ตกดินเราก็จะเข้าใจตรงกันว่า ตกลับเหลี่ยมเขา หรือต้นไม้ลับตาไปอะไรประมาณนั้น ใครจะไปคิดว่าที่เนินช้างศึกพระอาทิตย์ตกแบบค้างฟ้า ยังไม่ทันถึงยอดเขาเลยแต่ด้วยความหนาแนนของหมอกเมฆยามเย็นทำให้บดบังเเสงอาทิตย์จนลับหายไปกับตาของเรา ตรงเวลาอย่างที่พี่ทหารได้บอกไว้ หกโมงครึ่ง
เป็นภาพพระอาทิตย์ตกฟ้าที่แปลกตา สวยงานและประทับใจจริงๆครับ หลับฝันดีแน่ๆคืนนี้ แต่ก่อนอื่นขอขับลงเนินเข้าหมู่บ้านไปหาอาหารเย็นอร่อยๆทานก่อนดีกว่า เพราะที่นี่ขึ้นชื่อเรื่อง กุ้ง และปู จากทะเลอันดามัน ส่งตรงจากประเทศพม่ามาให้เราชิมกันเลย แค่คิดก็หิวท้องร้องระงมแล้ว (ดูหิวตลอดเวลาอีกละ)
ขับมอเตอร์ไซด์ถึงหมู่บ้านก็ค่ำพอดี ได้เวลาอาหารเย็น น้องชายตัวดีอ่านรีวิวมาว่า มาที่นี้ต้องร้านนี้เลย อร่อยชัวร์ใครๆก็บอก(ใครๆเนี้ยใคร_ะ) จัดไปอย่าให้เสียเดินตรงเข้าไปเลย สั่งอาหารสองสามเมนู แต่เสียดายวันนี้กุ้งตัวโตๆจากพม่าไม่เขามาส่งวันนี้ (อาจเป็นช่วงวันธรรมดาก็เป็นได้ คนไม่ค่อยเยอะทางร้านเลยไม่ได้สั่งกุ้งไว้)
อดไปครับ ดีนะที่ผมเป็นคนกินง่าย กินอะไรก็อร่อย แล้วก็ไม่ได้เป็นแฟนพันธุ์แท้กุ้งด้วย เลยไม่รู้สึกผิดหวังแต่อย่างใด แต่ที่คาใจคือรสชาตอาหารที่มันธรรมดาไหนรีวิวว่าอร่อยสุดยอดไง(_ะ) แซดครับที่โดนบิวจากรีวิว “บทเรียนครั้งนี้สอนให้รู้ว่าอย่าเชื่อรีวิว แต่จงเชื่อตัวเองจะดีกว่า ถ้าพลาดมาจะได้ไม่เจ็บมาก TT"
หลังจากทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินย้อยรอบหมู่บ้านหนึ่งรอบ เจอร้านขายขนมและของฝากเริ่มทะยอยเก็บของปิดร้าน ปกติถ้าวันธรรมดาหรือไม่ใช่ฤดูการท่องเที่ยวร้านค้าก็จะปิดประมาณสองทุ่มครับ
ถ้าเป็นเสาร์อาทิตย์ก็จะปิดช้าหน่อย ของฝากจากที่นี่ก็จะเป็นจำพวกขนม ปลาแห้ง ชา กาแฟ สมุนไพล ที่มาจากประเทศเพื่อนบ้านเรา ขนมอร่อยครับแนะนำให้ซื้อเป็นของฝากเลย เมื่อชมและชิมเป็นที่เรียบร้อย(กินตลอดทาง) แถมซื้อติดมือกลับห้องอีกสองถุงกะว่าจะเอาไปนอนกินตอนนอนดูทีวีที่ห้อง จ่ายตังเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาบอกลาแม่ค้า อากาศกำลังเย็นสบาย เวลาสองทุ่มกว่าหมู่บ้านก็เริ่มเงียบต่างคนต่างเข้าบ้านใครบ้านมัน ผมเหมือนกันขอตัวกลับห้อง อาบน้ำ นอนพักผ่อนเอาแรงไว้ลุยต่อในวันพรุ่งนี้ เรากะว่าจะตื่นแต่เช้าขึ้นเนินช้างศึกไปดูพระอาทิตย์ขึ้น...(ไอ้ที่กะว่าจะไปจะทำไม่เคยได้ทำเล้ย)
เช้าวันใหม่อะไรๆก็เริ่มต้นใหม่ (ใครบางคนกล่าวไว้) แถมตื่นสายไปดูพระอาทิตย์ขึ้นไม่ทันเพราะมันนอนเพลิน ตื่นขึ้นมาก็แปดโมงเช้า สายทั้งพี่ทั้งน้องนั่งมองน่ากันแถมเกี่ยงกันอาบน้ำอีก เเพลนวันนี้ก็ไม่มีอะไรมากเก็บที่เหลือเท่าที่เราจะขับมอเตอร์ไซด์ห้างไปได้
อาบน้ำแต่ตัวเรียบร้อยก็ออกไปหาอาหารเช้ากินในหมู่บ้าน เท่าที่เดินดูเช้านี้ก็มีทั้งโจ๊ก ไข่กระทะ กาแฟ ร้านของฝากก็เปิดแล้ว เช้านี้ดูผู้คนหนาตาขึ้น อาจเพราะเป็นวันเสาร์ หมู่บ้านเลยดูคึกคักขึ้น ที่พักที่ผมนอนเมื่อคืนก็เริ่มมีเพื่อนร่วมชายคา จากคืนแรกมีแค่ผมกับน้องชาย ตอนนี้ก็มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเพิ่ม
มื้อแรกของวันขอเบาๆเป็นไข่กระทะ ร้านนี้ก็อร่อยถูกปากอีกเช่นเคย ระหว่างกินไข่กระทะอย่างเมามันเจ้านายชายผมก็เห็นร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามบรรยากาศร้านดูน่านั่งเลยชวนแวะเข้าไปเติม”คาเฟอีน”และนั่งย่อยก่อนออกเดินรอบหมู่บ้าน บรรยากาศดูแปลกตาเมื่อมีนักท่องเที่ยวเริ่มเดินไปมาให้เห็นมากขึ้น
หมู่บ้านจุดที่มีที่พักสำหลับนักท่องเที่ยวจะมีถนนเมนเป็นเส้นตรงจากทางเข้าหมู่บ้านถึงท้ายประมาณ 500 เมตร ลักษณะเป็นเนินเตี้ยๆ ด้านล้างมีบ่อน้ำขนาดย่อมยาวขนาดกับหมู่บ้านด้านบนเนิน และผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่หลงเหลือจากการทำเหมืองปิล็อก แล้วหมู่บ้านอีต่องยังเป็นทางเริ่มต้นที่นักท่องเที่ยวจะเดินขึ้นเชาช้างเผือกอีกด้วยครับ (อยากขึ้นไปมากแต่ตอนนี้การเดินขึ้นเขาปิดยังไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้นไป)
เดินดูบรรยากาศไปเรื่อยๆก็มาเจอเข้ากับสะพานปูนซีเมนต์ที่ใช้เดินข้ามบ่อน้ำที่ราวสะพานก็เต็มไปด้วยป้ายไม้พร้อมข้อความของผู้ที่เคยมาเยือนหมู่บ้านกลางป่ากลางเขาแห่งนี้เต็มทั้งสองข้างของราวสะพาน ผมไม่รู้วัฒนธรรมการเขียนข้อความบนแผ่นไม้ การคล้องกุญแจได้รับความนิยมมาจากไหน หรือเกิดขึ้นเมื่อใดแต่ไม่ต้องสงสัยเพราะมันได้เข้ามาถึงในนี้แล้วเหมือนกัน
มันอาจเป็นการเขียนเพื่อบอกหรือเป็นการสัญญากับตัวเองก็ได้ว่าเราจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง ดังนั้นเราก็ไม่ควรพลาดไหนๆก็มายืนอยู่ตรงนี้แล้ว เหมือนสุภาษิตไทยที่ว่า “เข้าเมืองตา(เหล่)หลิ่ว ให้(เหล่)หลิ่วตาตาม”
เดินชมหมู่บ้านจนเป็นที่พอใจและเเดดก็ยังไม่ร้อนมาก พวกเราก็พร้อมที่จะแว้นมอเตอร์ไซด์ห้างไปอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ขับผ่านเลยน้ำตกจ๊อกกระดิ่นไปอีก 3 กิโลเมตร ออกจากตัวหมู่บ้านไปประมาณ 5 กิโลเมตรก็ถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ค่าเข้าชมอุทยานฯ 40 บาทต่อคน
วันนี้ผมก็จะใช้บัตรใบนี้แวะเล่นน้ำตกจ๊อกกระดิ่นก่อนกลับเข้าไปกินข้าวเที่ยงที่ร้านเจ้าหนู “อากาหม่อง” ก่อนจะขับเที่ยวต่อในช่วงบ่าย ขับขึ้นทางเหนือของหมู่บ้านเพราะสถานที่ท่องเที่ยวที่เหลือเท่าที่เราสามารถแว้นไปได้อยู่ตอนเหนือทั้งหมด มีแค่อุทยานฯที่เดียวที่เราต้องย้อนกลับออกไป
อุนทยานแห่งชาติทองผาภูมิอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าห้วยเขย่งและป่าเขาช้างเผือก (ที่ผมอยากขึ้นไปเดินมากและผมคิดว่าใครหลายๆคนก็อยากขึ้นไปเดินบนสันเขามากเหมือนกันจองยากพอดู) อยู่ในเขตอำเภอทองผาภูมิ และสังขละบุรี มีเนื้อที่ประมาณ 700,000 ไร่ หรือ 1,120 ตารางกิโลเมตร ด้านเหนือติดกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ใต้ติดอุตทยานแห่งชาติไทรโยค ตะวันออกติดกับอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ตะวันตกติดเขตเเดนไทย-พม่า
พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน มีพื้นที่ราบลุ่มน้อย เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าจำนวนมาก เพราะมีลักษณะแตกต่างกันของป่ารวมกันในเขตอุทยานฯ ทั้งป่าดิบชื้น ป่าดิบแล้ง ป่าดิบเขา และป่าเบญจพรรณ
ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือป่าวแดดที่ร้อนตอนขับรถมาแต่พอเข้าไปในเขตอุทยานฯกลับร่มรื่นเย็นสบาย ต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา ลมเย็นๆโชย ที่อุทยานจะมีบ้านพัก และจุดกางเต้นคอยให้บริการนักท่องเที่ยวที่ต้องการธรรมชาติและความสงบได้เข้ามาพักผ่อน เราสามารถขับรถเข้าไปถึงจุดชมวิวและใกล้ๆกันนั้นยังเป็นจุดที่ให้นักท่องเที่ยวกางเต้นนอนสัมผัสกับวิว ทิวเขา ช้างเผือกที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
ที่น่าสนใจอีกอย่างคือบ้านต้นไม้หรือบ้านทาร์ซาน ที่มีให้เลือกพักอีกหลายหลัง ผมว่าถ้าได้นอนบนบ้านทาร์ซานซักคือน่าจะหลับสบาย กลางคืนถ้าอากาศดีๆอาจได้นอนชมดาวบนบ้านต้นไม้แบบชิวๆด้วย
ใช้เวลาซึมซับกับบรรยากาศของธรรมชาติ ต้นไม้ ทิวเขา เติมที่แล้วก็ได้เวลาเดินทางไปกระโดนน้ำกันอีกแล้ว จ๊อกกระดิ่นรออยู่ ขับรถบนเขาผมว่าได้ฟิวอิสระดีครับ ธรรมชาติอากาศดี สดชื่น ไร้มลพิษ มีแต่ตัวเรากับเจ้ามอเตอร์ไซต์ที่ขับอยู่นี่แหละเป็นสิ่งแปลกปลอมของธรรมชาติ
ขับย้อนกลับไปไม่นานก็ถึงน้ำตกจ๊อกกระดิ่น วันนี้ดูเหมือนคนจะเยอะกว่าเมื่อวานตอนเย็น อาจเป็นเพราะวันนี้เป็นวันหยุดด้วยนักท่องเที่ยวแวะมาเล่นน้ำก่อนจะเข้าไปที่หมู่บ้าน ผมใช้ตั๋วอุทยานฯแสดงเป็นบัตรผ่านให้เจ้าหน้าที่ดูก่อนจะเข้าเล่นน้ำ
หลังจากลงเล่นน้ำจนจุใจแล้วก็ได้เวลาหาข้าวกลางวันกิน เวลาบ่ายกว่าแล้วยังเหลือที่ให้ไปอีกสองสามที่ เเวะท่านข้าวที่ร้านของเจ้าหนู “อากาหม่อง” เพราะเป็นทางผ่านและรสชาติถูกปาก แถมได้แวะเสวนากับเจ้าหนูน้อย ที่คุยกันเมื่อไหร่ก็จะหยิบยื่นความน่ารัก และงุนงงสังสัยให้กับพวกเราเสมอ(แต่ก็ยังจะคุย) ขอย้ำว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ
วันนี้เราก็ได้รู้ว่าจริงๆแล้ว ไอ้ตัวเล็กที่เราเข้าใจว่าชื่อ "หนูน้อยอากาหมอง” ในตอนแรก แท้จริงแล้วชื่ออะไร เมื่อพี่ชายของเด็กน้อยเดินผ่านมา ตอนเรากำลังสนทนากับเด็กน้อย (ที่รู้จักพี่ชายเจ้าตัวน้อยก็เพราะว่านั่งรถเข้าหมู่บ้านมาพร้อมๆกันในวันแรก) พร้อมแนะนำน้อยชายให้เรารู้จักว่าชื่อน้อง เอ็มเค !!??? แล้วไอ้ "อากาหม่อง" เนี่ยมันคืออะไร_ะ ผมและน้องชายก็ยังคงสงสัยมาจนทุกวันนี้
ขับรถย้อนขึ้นไปจนถึงทางเข้าหมู่บ้านอีต่อง ฝั่งตรงข้ามของหมู่บ้านเป็นที่ตั้งของเหมืองร้างปิล๊อก เพราะใกล้กับที่พักชนิดเดินไม่กี่ก้าวก็ถึงเราจึงเก็บไว้เดินสำรวจที่หลัง วันนี้ได้เวลาแวะเดินสำรวจ เหมืองปิล๊อกเป็นเหมืองฉีดแร่ดีบุก วุลแฟลม ทังสเตนฯ เปิดทำเหมือง พ.ศ. 2502 และปิดตัวลงเมื่อปี พ.ศ. 2545
ก่อนเดินทางมาผมยังนึกภาพเหมืองและการทำเหมืองจริงๆไม่ออกไม่รู้ว่าทำกันยังไง กะว่าจะมาเห็นเอาที่นี่เพราะเคยดูแต่ในหนังไทยเรื่อง มหาลัยเหมืองแร่ ถ้ายังมีคนจำได้ แต่จริงๆแล้วสิ่งที่เรามาเห็นจากที่นี้คืออาคารร้าง เครื่องมือ เครื่องใช้เก่า
ซากรถหน้าตาแปลกประหลาด ที่หลงเหลือจากการทำเหมืองในอดีต ร่องรอยความเก๋าและเก่าจากการใช้งานอย่างทรหด สมบุกสมบันมานานแรมเดือนแรมปี บ่งบอกว่าสมัยก่อนที่นี่รุ่งเรืองแค่ไหน มีผู้คนอาศัยอยู่มากเพียงใด
ผมทราบข้อมูลมาจากพี่ที่ร้านกาแฟ ว่าในหมู่บ้านอีต่องสมัยก่อนมีโรงหนังถึงสองโรงตั้งอยู่เพื่อให้ความบันเทิงแก่คนงานทำเหมือง ใครจะไปคิดว่าหมู่บ้านเล็กๆกลางป่าเขาในอดีตจะรุ่งเรืองขนาดนี้ คำว่าปิล๊อก จริงๆแล้วเป็นคำที่เพี้ยนมากจาก คำว่าผีหลอก แต่คนพม่าที่มาอาศัยอยู่ที่นี้พูดกันจนเพี้ยนมาเป็น ปิล็อกในปัจบันนี้ แต่ผมก็ไม่ทราบว่าที่นี้จะมีอะไรลึกลับรึป่าวนะครับ ต้องลองมาสัมผัสกันเอาเอง
ออกจากเหมืองปิล๊อกก็ขับมอเตอร์ไซด์ขึ้นไปที่จุดชมวิวเนินเสาธง ผ่านหมู่บ้าน วัด โรงเรียน ขึ้นเนินไปไม่นาน ก็จะไปกับป้อมหทารแต่ไม่ต้องตกใจไปเราสามารถขับผ่านไปได้ ตอนแรกก็กลัวแอบกลัวๆอยู่เหมือนกันว่าพี่ทหารจะให้ผ่านเข้าไปมั้ย
เห็นยื่นนิ่งไม่พูดไม่จาแถมมีไม้กั้นไว้ด้วย แต่พอขับเข้าไปใกล้ๆ จากสีหน้าที่เคร่งขรึม ก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มให้โดนทันที พร้อมกับคำทักทายและยกไม้กั้นทางขึ้นให้เราขับผ่านแบบเป็นมิตร ขับต่อไปไม่ไกลนักก็ไปถึงทางขึ้นเนินเสาธง
เนินเสาธงในอดีตพม่าเคยเข้ายึดใช้เป็นฐานที่มั่นในการกวาดล้างชาวกระเหรี่ยง ต่อมาทางการไทยจึงนำเสาธงมาตั้งไวเพื่อความชัดเจนของอาณาเขตพรมเเดนประเทศ จึงเป็นที่มาชองชื่อ "เนินเสาธง”
ตรงทางขึ้นเนินด้านซ้ายมือจะเป็นที่ตั้งของป้อมทหารพม่าสังเกตุได้จากรั่วที่ทำจากไม้ไผ่สานขัดกันบนเนินดินสูงท่วมหัวเราสูงประมาณสี่ถึงห้าเมตร ด้านขวามือเป็นทางขึ้นไปยังเนินเสาธง (ต้องเดินเท้าไต่บันไดขึ้นยอดเนิน)
ด้านบนเนินเป็นพื้นลาบขนาดเท่าสนามฟุตบอลย่อมๆ เราจะเห็นเสาธงชาติขนาดใหญ่ตั้งตระหงานอยู่คู่กันฝั่งหนึ่งเป็นธงชาติประเทศไทย อีกฝั่งหนึ่งเป็นธงชาติของประเทศพม่า มองจากยอดเนินจะเห็นทิวเขาประเทศพม่าสุดสายตา และมองเห็นโรงแยกก๊าซในฝั่งพม่า วิวที่นี่อาจไม่ดีเท่าที่เนินช้างศึกเพราะมีทิวไม้รอบๆเนินบดบังทิวทัศน์
อีกจุดที่อยู่ใกล้และสายแว้นอย่างเราจะไปคือช่องมิตรภาพชายแดน ไทย-พม่า ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลขับรถไม่ถึง 10 นาที ช่องมิตรภาพ เป็นทางเชื่อมระหว่างเขตแดนไทย-พม่าและเป็นแนวท่อส่งก๊าซจากอ่าวเมาะตะมะในประเทศพม่า ผ่านมาทางบ้านอีต่อง มีจุดพักท่ออยู่ทั้งฝั่งไทย และฝั่งพม่า ผ่านตามแนวสันเขาผ่านช่องแคบ
ช่องนี้ปัจจุบันไม่ได้เปิดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการ ไม่อนุญาติให้น้กท่องเที่ยวข้ามไปยังฝั่งประเทศพม่าจะมีทหารไทยและทหารพม่าคอยดูแลพื้นที่ในการเข้าออกตลอดเวลา นักท่องเที่ยวสามารถเดินเข้าไปในพม่า แค่สุดเขตประเทศไทย ไม่เกินป้อมยามที่ฝั่งพม่า..
จอดรถลงเดินผ่านช่องแคบไปก็จะเจอถนนลาดชั้นโค้งตามแนวเขาเข้าไปยังฝั่งพม่า ตอนเดินลงก็ชิวๆ ก้าวตามแรงดึงดูดโลกไปเรื่อยๆ ไปถึงทางโค้งก็มองเห็นเจดีย์องค์เล็กๆอยู่ไม่ไกล แต่ด้วยความไม่แน่ใจว่าเราสามารถไปได้ถึงตรงนั้นมั้ย และไม่มีใครเดินตามเรามาเลย ผมกับน้องก็เลยถอยกลับ
แต่ก่อนเดินลงมาก็ได้คุยกับพี่ทหารที่เราเจอระหว่างเนินเสาธงและยังแนะนำให้เราขับรถมาดูที่ช่องมิตรภาพด้วย แก่ก็ตอบว่า ‘’น้องเดินไปจนกว่าน้องจะเหนื่อยเลยครับ” ได้รับคำตอบแบบนี้ พี่ก็ไม่รู้จักผมซะแล้ว
เรายิ่งเป็นพวกขยันเดินด้วยซิ เดินกันไปจนไม่มีใครเดินตามมา ตอนขากลับต้องเดินขึ้นเนิน ขาแทบหลุด เล่นลิ้นห้อยกันไปเลยสองพี่น้อง คราวหลังอย่าขยันเดิน (ลงเนิน ให้คิดถึงตอนเดินกลับขึ้นเนินบาง บอกตัวเองในใจ) พอเดินกลับมาถึงป้อมยามก็เดินไปที่รถเตรียมตัวจะขับกลับแต่เจอพี่ทหารที่ประจำการอยู่ที่นั้นเลยถามถึงเจดีย์ที่เห็นคืออะไร
แล้วสามารถเดินไปถึงตรงนั้นได้มั้ย พี่ทหารก็บอกเราว่า เราเดินไปได้แต่ต้องมีเจ้าหน้าที่เป็นคนพาเดินไป อ้าวแล้วที่ผมกับน้องเดินไปนั้น กลัวนะเนี่ย พี่ทหารก็ยังบอกอีกว่าถ้านักท่องเที่ยวเดินไปเองก็ได้แค่ 100-200 เมตรจากช่องแคบ เดินไกลเกินไปแล้วเราสองพี่น้อง
แล้วก็ยังไม่ได้รู้ว่าคือเจดีย์อะไร มัวตกใจกับวีรกรรมการเดินลงเนินของตัวเองอยู่ เลยขอตัวพี่ทหารกลับลงมา ขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ได้ก็พากันขับกลับเข้าหมู่ ไปพักนั่งขาที่ห้อง ล้างหน้าล้างตา ให้สดชื่นก่อน เวลายังเหลือกว่าพระอาทิตย์จะตก
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะอยู่ที่นี้ผมก็เลยจะขึ้นไปดูวิวพระอาทิตย์ตกที่เนินช้างศึกอีกรอบ แต่พอกลับเขามาในหมู่บ้าน ท้องฟ้าก็ดูครึ้มๆเหมือนฝนจะตก จริงๆแล้วมองเห็นฝนตกอยู่ที่ฝั่งประเทศพม่าตั้งแต่เราขึ้นไปบนเนินเสาธงแล้ว แต่ไม่คิดว่าลมจะพัดพาเอาเมฆฝนมาถึงฝั่งไทยด้วย พอผมกับน้องออกมาจากห้องพัก แสงแดดจางลง เริ่มมีละอองฝนบางๆ แต่มันไม่น่าจะตกแรง ผมกับน้องก็เลยตัดสินใจ รีบแว้นมอเตอร์ไซค์ไปที่เนินช้างศึก
ตอนนั้นเป็นเวลาสี่โมงเย็น ระหว่างทางฝนก็เริ่มจางหาย ทำให้เราใจชื้นขึ้นเป็นกอง ไม่เจอฝนแน่ๆ และการตัดสินใจครั้งนี้ก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะเมื่อขับเข้ามาถึงเนินลูกสุดทาย ภาพที่เราเห็นอยู่ข้างหน้าบนยอดเนินช้างศึก คือกลุ่มหมอกสีขาวหนาตา แผ่กระจายปกคลุมไปทั่วทั้งยอดเนิน และกำลังลามเข้ามาใกล้ตัวเรามากขึ้นๆ ผมก้มมองดูเวลาเกือบๆจะห้าโมงเย็น
ภาพที่เห็นอยู่ข้างหน้าสุดยอดมาก เหมือนเวลานั้นเราอยู่ให้ช่วงฤดูหนาวทางภาคเหนือที่มีหมอกเย็นๆสีขาวเหมือนปุยฝ้าย สัมผัสไปถึงความเย็นของละอองน้ำที่ลอยอยู่ในอากาศในยามเช้าตรู่ หลังจากหายตะลึงกับกลุ่มหมอก ผมก็ค่อยๆขับมอเตอร์ไซค์ไต่ขึ้นไปถึงเนินช้างศึก จอดรถตรงลาดจอดรถที่ส่วนใหญ่เป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อ รถตู้ มีเพียงเราที่เป็นรถมอเตอร์ไซค์ห้างคันเก่า(มาก) สีเขียวสด อาจหาญขับขึ้นมาในสภาพอากาศแบบนี้ (ผมยิ้มรับด้วยความภูมิใจทีสามารถขึ้นมาได้)
พอจอดรถเรียบร้อย เราสองพี่น้องก็เดินซึมซับบรรยากาศท่ามกลางดงหมอก ลมเย็น ละอองน้ำ บนยอดเนิน มีนักท่องเที่ยวประมาณสองถึงสามกลุ่มที่ขึ้นมาเจอดงหมอกเหมือนกับเราสองคน เสียงความตื่นเต้น ดีใจ ถ่ายรูป ถ่ายคลิป live สด (ไม่เว้นแม้กระทั้งพี่ทหารก็ยัง live) ให้คนที่ไม่ได้อยู่บนนี้ ณ.ตอนนี้ได้อิจฉา ผมค่อยๆเดินขึ้นไป มองไปรอบๆตัวออกไปไกลได้ไม่ถึง 10 เมตรหลังจากนั้นทุกอย่างกลื่นไปในดงหมอก แม้นแต่พระอาทิตย์ที่ให้แสงสว่างสุดท้ายของวัน ยังไม่สามารถหนีพ้นหมอกไปได้ ผมได้พูดคุยกับพี่ (หรือน้องไม่ค่อยแน่ใจ)
ทหารที่ประจำการอยู่บนเนินช้างศึก บอกว่ามาประจำการอยู่บนเนินตั้งหกเดือนแล้วเพิ่งเคยเจอหมอกแบบนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกัน ถือว่าคนที่ขึ้นเนินช้างศึกในเย็นวันนั้นช่างโชคดีจริงๆ ที่ได้มาเจอกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่สวยงานแบบนี้ น้อยครั้งที่จะมีหมอกหนาตานขนาดนี้ มันสร้างความประทับใจให้กับทุกคนจริงๆ
ผมสังเกตุได้จากสีหน้า แววตา และรอยยิ้มของทุกคน ร่วมทั้งผมและน้องชายด้วย เราชื่นชมหมอกบนยอดเนินอยู่นาน กลุ่มคนก็ทะยอยกลับกันไปที่ละชุดๆ ตอนนี้เราเริ่มหันมากังวลกับสภาพหมอกที่กำลังปกคลุมแทน เพราะไม่แน่ใจว่ารถของเราจะขับลงเนินในสภาพหมอกหนาๆได้มั้ย จะมองเห็นทางมั้ย ถ้าไม่ก็ว่าจะขอนอนกับพี่ทหารบนยอดเนินซักซะเลยฟ้าเริ่มมั่วลงทุกทีๆด้วยความหนาแน่นของหมอก
ดูเวลาที่ข้อมือตอนนี้ก็หกโมงครึ่งแล้ว
เราจึงตัดสินใจค่อยๆขับลงจากยอดเนิน ขับออกมาเรื่อยๆใช้ความเร็วที่เรียกว่า ต่ำยิ่งกว่าต่ำมาก กันเลยทีเดียว แต่สภาพอากาศไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เราคิด เพราะหมอกเพียงแค่ลอยตัวปกคลุมบนยอดเนินเท่านั้น ขับลงมาข้างล่างหมอกก็เริ่มบางตา จางลงๆเรื่อยๆจนหายไปทิ้งไว้แต่แสงสลัวและอากาศที่เย็น
ขับเรื่อยมาจนถึงป้ายเจ้าปัญหาที่ทำเรางงในวันแรก ยังพอมีแสงอยู่ ก็เลยจะเเวะเข้าไปดูอุโมงค์เหมืองแร่เก่าที่เราขับรถเลยผ่านมาสองวันแล้ว ถ้าวันนี้ไม่แวะก็คงต้องไว้ครั้งหน้าละ(ครั้งหน้าก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่) จอดรถชิดข้างทางไว้
สายตาก็เหลือบไปเห็นรถเก๋งสีขาวหนึ่งคันจอดอยู่ มองที่ทางขึ้นอุโมงค์ก็เห็นนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งเดินลงมา พร้อมกับเสียงพูดทักทาย ถามถึงเนินช้างศึก โดยทั้งกลุ่มเข้าใจว่าตรงนี้คือเนินช้างศึก ผมเลยรีบชี้แจงแก้ไขความเข้าใจผิดและรีบบอกให้ขับขึ้นไปที่ยอดเนินช้างศึกเพราะตอนนี้ยังทันได้บรรยากาศ สายหมอกหนาๆยามเย็นกอนที่แสงจะหายไปมากกว่านี้ (ว่าแล้วต้องมีคนเข้าใจผิด) หลังจากรถเก๋งขับรับหายไปตามทางขึ้นเนิน ผมกับน้องก็เดินตามทางดินไปดูอุงโมงค์เหมืองแร่เก่าที่ถูกทิ้งร้างไว้หลังจากผ่านยุครุ่งเรืองในการทำเหมืองแถวๆนี้
เดินตามทางดินเล็กๆขึ้นบนเนินเขาไปประมาณ 100 เมตร ก็จะเห็นป้ายคำเตือนในการเข้าชมอุโมงค์ที่ขุดเพื่อสำรวจแร่ตามภูเขา ลักษณะอุโมงค์ที่เห็นจะเป็นช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวตั้งคล้ายประตูที่เดินเข้าสู่ขุนเขา(เริ่มมโนว่าตัวเองเป็นเหล่าคนแคละในหนังเรื่อง ลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์)
ด้วยแสงที่สลัวและมืดลงเรื่อยๆทำให้เราสองพี่น้องได้แค่มองและสำรวจได้เพียงด้านนอกของอุโมงค์เท่านั้น ไม่อาจที่จะเดินฝ่าความมืดเข้าไปสำรวจด้านในได้ (ถ้ามาตอนกลางวันก็พอจะพอไหว) แต่บรรยากาศตอนเย็นแบบนี้น่ากลัวพิลึกทำให้ผมนึกถึงชื่อเหมืองขึ้นมาทันที ปิล็อค “ผีหลอก” แค่นี้ก็เสียวสันหลังแล้ว... ต้องถอยทับขับกลับเข้าหมู่บ้านดีกว่า....
ขับรถมอเตอร์ไซค์ถึงทางเข้าหมู่บ้านแวะเอารถเช่ามาคืนลุงจันและสอบถามเวลารถสองแถวเหลืองที่จะออกจากหมู่บ้านในวันพรุ่งนี้ ลุงบอกว่าเที่ยวเเรกหกโมงเช้า เที่ยวสุดท้ายไม่เกินแปดโมงเช้า
ถ้าพลาดจากนี้ก็ต้องนอนค้างที่นี่ต่ออีกคืน ได้ข้อมูลเรียบร้อยก็ไม่ทำให้สบายใจขึ้นเลยเพราะยังไม่อยากกลับตอนเช้า แต่จะให้โบกรถก็จะไม่ชัวร์ ว่าแล้วก็เดินคอตกเข้าหมู่บ้านหาอะไรอร่อยๆกินก่อนดีกว่าจะได้คิดออก (ด้านหลังบ้านลุงจันเป็นอุโมงค์และโรงอาบน้ำเก่าเข้าไปดูได้ แต่เราพลาดไม่ได้สำรวจ) เดินประมาณสอง สาม นาทีก็มาถึง ถนนสายหลักของหมู่บ้านที่มีร้านค้า ร้านอาหารเปิดขาย
วันนี้เราจะลองร้านให้เอาตามใจไม่ตามรีวิว เลือกร้านที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับร้านเมื่อวานที่เรากิน ร้านนี้จะอยู่ต่ำว่าระดับถนน คนแน่นร้านรอคิวนานไปนิด (ของบอกว่าร้านนี้คนเยอะมากถ้าหิวมากๆอย่าเดินเข้าไปเพราะจะเกิดอาการโมโหหิวได้)
สั่งอาหารไปสอง สาม อย่างนั่งรออาหารประมาณ สามสิบถึงสี่สิบนาที เพราะยังมีคิวที่ยังไม่ได้อีก สอง สามโต๊ะ นั่งเล่นมือถือเพลินๆเดี๋ยวอาหารก็มาเสริฟตรงหน้า ส่วนรสชาติอาหารจัดจ้าน จี้ดจ๊าด อร่อยเหาะ เหมาะกันเรา คุ้มค่ากับการรอคอย วันนี้เลยกินจนพุงกางกันเลยทีเดียวแน่นจนกินไม่หมด ส่วนราคาก็สมน้ำสมเนื้อ สมราคา....
หลังจากเสร็จกิจจากอาหารคาวเรียบร้อยแล้วก็เดินมาเจอบัวลอยไข่หวานที่ตั้งอยู่หน้าร้านไข่กระทะที่เรากินเมื่อเช้านี้ แอบลังเลอยู่สามวิ แล้วผมก็เดินไปสั่งบัวลอยไข่หวานท่านน่าตาเฉย (ก็มันน่ากินนี่แฮะๆ) น้องผมมองตาปริบๆ
เจอพี่ที่ดูแลที่พักของเรานั่งกินบัวลอยอยู่หน้าร้านเลยขอนั่งร่วมโต๊ะ ถามเรื่องเวลารถสองเเถวอีกทีเผื่อพี่แกมีอะไรดีๆแนะนำ ก็ได้คำตอบเช่นเดิม เพิ่มเติมคือพี่แกแนะนำให้เราไปรอโบกรถนักท่องเที่ยวที่หน้าหมู่บ้านขอติดไปลงที่ตลาดทองผาภูมิ มีคนทำกันบ่อยให้เราลองดูถ้ายังไม่อยากกลับแต่เช้า พี่พูดแบบนี้มันก็ดูชิวดี มันเป็นอีกทางเลือกถ้าเราตื่นไม่ทันรถสองแถว
นั่งคุยสัพเพเหระกับพี่แกไปเรื่อยเรื่องดิน ฟ้า อากาศ ความเป็นอยู่ ผู้คนในระหว่างที่นั่งกินบัวลอย และสิ่งที่ผมสนใจอีกอย่างคือเรื่องของเขาช้างเผือก ซึ่งหมู่บ้านอีต่องเป็นปากทางสู่การเดินขึ้นไปชมความงานบนสันเขา
จากหมู่บ้านถึงเขาช้างเผือกเป็นระยะทาง 8 กิโลเมตรต้องเดินเท้าขึ้นไปเท่านั้น แต่ช่วงนี้ทางอุทยานฯยังไม่อนุญาติให้นักท่องเที่ยวขึ้นไป การขึ้นไปต้องโทรฯจองกับทางอุทยานฯในช่วงที่เปิดฤดูกาลให้ขึ้นเท่านั้นและจะต้องมีเจ้าหน้าที่พาขึ้นไป ไม่สามารถขึ้นไปเองได้(จองยากมั๊กมาก
กลับมาถึงห้องหนังท้องก็ตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน นอนรอน้องชายไปอาบน้ำ อยากจะหลับซะตอนนั้นเลยไม่อยากจะลุกไปอาบน้ำ ขอซักแห้งคืนนี้แต่ก็ทำไม่ได้เกรงใจน้องชายที่มันอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยเดี๋ยวมันจะไม่ให้นอนด้วย เลยต้องหอบร่างไปโดนน้ำก่อนจะกลับมานอน ก่อนนอนเราตกลงใจแล้วว่าพรุ่งนี้จะตื่นขึ้นมาให้ทันรถสองแถวเที่ยวใดเที่ยวหนึ่งให้ได้ ว่าแล้วก็ราตรีสวัสดิ์ พรุ่งนี้ค่อยเก็บของเข้ากระเป๋าวันนี้ขอไปเฝ้าพระอินทร์ก่อนครับ (ปิดไฟนอน)
ลืมตาตื่นมาตอนตีห้าเกือบพร้อมกัน ผมรีบไล่น้องชายไปอาบน้ำ ก่อนจะค่อยๆดีดตัวเองออกจากแรงดึงดูดและยั่วยวนให้นอนต่อของเตียงดูดวิญญาณในตอนเช้าตรู่ ภาระกิจช่วงเช้าสุดท้ายในหมู่บ้านอีต่องไม่มีอะไรมาก หลังจากที่อาบน้ำและเก็บของเข้ากระเป๋าเรียบร้อย คืนจุญแจห้องพัก
ไปที่วินสองแถวที่เราเห็นจอดอยู่ตรงกลางซอยเพื่อรอรับผู้โดยสาร แต่เห็นได้แป๊บเดียวเจ้าสองแถวเหลืองก็เริ่มเคลื่อนตัวออกไปต่อหน้าต่อตาเราสองพี่น้อง ขนาดนั้นเป็นเวลาเกือบๆจะเจ็ดโมงเช้า คาดว่าเป็นรถเที่ยวแรกเราจะไม่รีบอะไรเพราะยังไงก็ยังเหลืออีกสองเที่ยว
ก็เลยขอเเวะซื้อของฝากติดไม้ติดมือก่อนที่จะมาหาอะไรกินแถวๆนั้นที่สามารถมองเห็นรถสองแถวจะได้วิ่งไปขึ้นทัน เลยแวะร้านโจ๊กตรงที่รถสองแถวเหลืองจอดรอรับผู้โดยสารซะเลย ไม่นานรถสองแถวคันใหม่ก็เข้ามาจอดในระหว่างที่เรานั่งซดโจ๊กหมูไม่ไข่แต่ใส่ทุกอย่าง พี่สาวที่ขายโจ๊กก็ใจดีร้องตะโกนถามลุงโชเฟอร์ให้ว่ารถจะออกกี่โมงได้คำตอบกลับมาว่าประมาณแปดโมงและรถของแกเป็นรถเที่ยวสุดท้ายของวันนี้แล้ว ดีที่เรามาทัน เวลายังเหลืออีกเยอะพอกินโจ๊กเสร็จแล้วก็เอากระเป๋าไปจองที่ไว้บนรถแล้วออกเดินเล่นอีกซักรอบ พาน้องชายมาเติมคาเฟอีนที่ร้านกาแฟที่ซื้อเมื่อวานนี้ อยู่ติดๆกับร้านโจ๊กที่เรากินและใกล้กับวินรถด้วย ดูน่านั่งชิวๆดี
วันนี้เราถึงได้รู้ชื่อร้าน ว่าชื่อ “แดกม่ะ Coffee” ฟังไม่ผิดครับชื่อนี่จริงๆ จากการคุยกับพี่(สาว)เจ้าของร้าน แกบอกว่าเพื่อนๆเป็นคนช่วยตั้งชื่อร้านให้ แต่งร้านสดุดตา ชื่อร้านยังสดุดหูอีก รถชาติก็ไม่แพ้ชื่อร้านเลย วันนี้ผมสั่งโกโก้ร้อนไป จัดว่าได้ อรรถรส ของการนั่งชิวยามเช้า รับแสงแดดอ่อนหน้าร้าน พี่(สาว)ยังชวนเราคุยเล่ยอย่างเป็นกันเอง ถามไถ่ว่าไปเที่ยวที่ไหนกันมาบ้าง ไปเหมืองสมศักดิ์มารึยัง เราก็เพิ่งได้คำตอบจากพี่แกว่า นอกจากใช้รถโฟวิลขับเขาไปแล้ว เรายังสามารถเดินเท้าเข้าไปที่เหมืองได้ใช้เวลาไม่นานนัก ถ้าครั้งหน้าเรากลับมาก็ลองเดินไปดูได้ เรื่องของเหมืองเอาไว้ครั้งหน้าก็แล้วก็แต่ตอนนี้ขอตัวพี่(สาว)ไปที่รถก่อนเพราะคนเริ่มมาที่รถกันมากขึ้น
ไม่นานรถสองแถวเหลืองคันสุดท้ายของวันก็เคลื่อนตัวช้าๆออกจากหมู่บ้านอีต่อง หมู่บ้านกลางป่าเขาที่เราได้เก็บความทรงจำดีๆและแอบมาขโมยโอโซนเข้าปอดกลับไปพร้อมความอิ่มเอมใจในบรรยากาศและธรรมชาติของที่นี่
สองแถวออกตัวอย่างช้าๆคนก็เต็มรถเช่นเดิมทั้งนั่งทั้งยืนห้อยโหยแบ่งๆกันไป จุดมุ่งหมายเดียวคือลงที่ตลาดทองผาภูมิ รถยังรักษาความเร็วเท่าเดิน ขับโยกไปย้ายมา วิวข้างทางก็เพลินตา พาให้เราง่วงนอนไปกับลมเย็นๆที่พัดมา....
ลุงขับช้าๆพาเราผ่าน 399 โค้งลงมาถึงสามแยกบ้านไร่ก็เจอเข้ากับรถสองแถวเหลืองคันเมื่อเช้าที่วิ่งผ่านหน้าเรามาจอดเสียอยู่ตรงนั้นพอดี(นึกในใจ “ดีนะที่เราขึ้นไม่ทัน”) ผู้โดยสารของรถคันแรกก็เลยต้องมารวมกันอยู่ในรถของเรา เอ้าแบ่งๆกันไปละกันนั่งไม่นานก็ถึงตลาดทองผาภูมิแล้ว นั่งหลับได้มันนานลุงก้พาพวกเราทะยายมาถึงทองผาภูมิ ผมสะดุ้งตื่นตอนลุงจอดแวะเก็บค่าโดยสารก่อนเข้าวิน(ค่ารถสองแถวเหลืองจากตลาดทองผาภูมิ-หมู่บ้านอีต่องคนละ 70 บาท)
หลังจากเช็คบิลค่าโดยสารเรียบร้อยลุงก็พาผู้โดยสารเต็มๆคันมาส่งที่วินรถตู้ ทองผาภูมิ-กาญจนบุรี ที่มีผู้คนนั่งรอรถกันอย่างหนาตาแต่ความสนใจของผมก็ไม่ได้อยู่ที่ผู้คนกลับพุ่งตรงไปยังห้องน้ำอั้นมาตั้งนานก็ได้เวลาปลอดปล่อยน้ำที่จะล้นเขื่อน
จัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว ผมกับน้องก็เข้าไปสอบถามเวลารถตู้ ก็ได้ความว่าที่นั่งกันอยู่นี้รอรถตู้ที่มาจากอำเภอสังขละที่จะแวะมารับผู้โดยสารที่ทองผาภูมิเข้าตัวเมืองกาญฯต้องรอว่าจะมีวางกี่ที่ ซึ่งผมดูแววแล้วน่าจะอีกนานก็เราจะได้ตั๋วกลับเข้าตัวเมืองกาญฯ ผมเลยตัดสินใจว่าเราลองเดินไปนั่งรถเมล์น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้ อย่างน้อยก้ไปไวกว่าแน่นอน พากันเดินออกมาถามป้าๆแถวนั้นว่ารถเมล์เข้าเมืองกาญฯต้องไปนั่งตรงไหน
ป้าที่ขายกล้วยทอดบอกให้เราเดินย้อนไปรอตรงหน้าตลาดทองผาภูมิ เดินย้อนลงมาไม่ไกลก็เห็นวินมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ติดๆกับป้ายรถเมล์ที่มีคนนั่งรถอยู่ เลยเข้าไปสอบถามกับพี่วิน(มอเตอร์ไซค์) ว่ารถเมล์จะมาเมื่อไหร่
พี่วินบอกว่ารถเมล์จะออกทุกครึ่งชั่วโมง นั่งรถตรงนี้เดี๋ยวรถเมล์ก็มา หรือจะไปเดินเล่นรอก่อนก็ได้ เพราะเป็นต้นสายยังไงรถก็ว่าง พี่ๆเพิ่มความสบายใจให้กับผมขึ้นเยอะ พอหายเคลียดเรื่องรถแล้วก็หิวซิครับตอนนี้ ขอเดินรอบตลาดหาอะไรกินก่อนและก็จะได้เก็บภาพตลาดด้วย ว่าแล้วเราก็แบกเป้เดินหาของกิน เดินอ้อมไปอ้อมมาก็วกกลับมาที่ท่ารถตู้ที่มีร้านข้าวขายอยู่ฝั่งตรงกันข้าม เลยตรงเข้าไปนั่งกินข้าวในร้าน พอท้องอิ่มก็ออกเดินไปที่ป้ายรถเมล์
เดินพ้นวินรถตู้ออกมาที่ถนนก็มองเห็นรถเมล์กำลังจะออกตัว คาดว่าวิ่งยังไงก็ไม่ทัน ตะโกนเรียกยังไงก็ไม่ได้ยินแน่ๆ แต่เหมือนสวรรค์มีตาส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจใจดีมาให้ พี่ตำรวจที่อยู่ใกล้ๆคงได้ยินเราคุยกัน เลยถามว่ามีอะไรให้ช่วยมั้ย? เรารีบตอบว่ากำลังจะไปขึ้นรถเมล์คันนั้นแต่รถมันออกไปเเล้ว
พี่ตำรวจเลยบอกว่าจะไปเรียกให้ พอขับมอเตอร์ไซค์ลงมาที่ถนน พี่แกก็เรียกให้เราสองคนรีบกระโดดขึ้นซ้อนท้าย พร้อมเตรียมแว้นไปดักหน้ารถเมล์ เอาแล้ววันนี้ได้ขึ้นรถมอร์ไซค์ตำรวจครั้งแรก(นึกว่าอยู่ในหนัง mission imposible) พี่ตำรวจพาขับลัดเลาะซอยไปมาโผล่ตรงหน้ารถเมล์พอดี
เรารีบขอบคุณพี่ตำรวจแล้ววิ่งไปขึ้นรถแบบหอบๆ คนในรถเมล์คงจะงงว่าสองคนนี้เป็นใครทำไม่ตำรวจถึงมาส่ง อย่าว่าแต่คนบนรถงงเลย ผมก็ยังงงตัวเองอยู่ว่าตำรวจมาได้ไง(ตำรวจไทยใจดีครับ)
และนั้นก็ถือเป็นการจบทริปอย่าสมบูรณ์ เดินทางกลับอย่างปลอดภัย มาถึงสถานีขนส่งกาญจนบุรี บ่ายกว่าๆ แล้วก็ต่อรถตู้กลับเข้ากรุงเทพเมืองแห่งความวุ่นวาย แต่ใจเรายังคงโหยหาความสนุกจากการเดินทางกันต่อไป
ใช่แล้วครับการเดินทางมันไม่มีวันสิ้นสุด มันอยู่ที่ว่าจะเป็นการเดินทางแบบไหน เริ่มเมื่อไหร่ เริ่มที่ใด ส่วนการเดินทางของผมที่ออกไปหาโอโซนในป่า แต่สิ่งที่ได้กลับมามันช่างคุ้มค่ากว่าการสูดโอโซนเป็นหลายเท่า มันคือมิตรภาพ รอยยิ้ม ความสุข ที่ได้รับตลอดการเดินทาง และการเดินทางสำหรับผมถือเป็นสารเสพติดอย่างหนึ่งเลยทีเดียว แล้วพบกันในการเดินทางครั้งหน้าครับ
3-5 March 2017
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น